ผมเองเข้าตลาดหุ้นตั้งแต่ปีประมาณ 2006 ปลาย ๆ ปี จวบจนบัดนี้ก็ 8-9 ปีไปแล้ว จะว่าบังเอิญก็ใช่จะว่าฟลุ๊ค ก็ตามที แต่ผลตอบแทนในการลงทุนก็ดีกว่าการฝากเงินและถ้าจะพูดให้ตรงก็คือโดยรวมแล้วน่าจะดีกว่า SET โดยรวม ซึ่งนั่นไม่ได้เป็นหลักประกันว่าอนาคตผมจะทำได้ดีหรือไม่?
จึงจั่วหัวข้อของ บล็อคว่า "การดำรงตนในตลาดหุ้น" นั่นหมายถึงการ เอาตัวรอดให้ได้ในตลาดหุ้นนั่นเอง
เมื่อผมพูดถึง CANSLIM แล้ว C-A-N-S-L-I-M คืออะไรมาทำความรู้จักกันก่อน ขออ้างอิงบทความเก่าของผมเองที่เขียนไว้แล้วมีคน ก๊อป ไปมากเหลือเกิน ดังนี้ครับ
วิธีดูหุ้นเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณ
วิธีการและแนวทางการลงทุน ที่ผสมข้อมูลเชิงคุณภาพและข้อมูลเชิงปริมาณเป็นเกณฑ์ในการเลือก หุ้นลงทุน แนวคิดที่สำคัญในการลงทุนคือ “มองหาหุ้นที่โตเร็วที่มีศักยภาพในการที่ราคาจะพุ่งขึ้นอย่างรุนแรง” นั้นคือ ซื้อหุ้นเมื่อบริษัทแข็งแกร่ง ขายออกเมื่อบริษัทอ่อนแอลงเขาแนะนำนักลงทุนให้ใช้แนวทาง 7 ประการในการลงทุน โดยมีตัวย่อ C-A-N-S-L-I-M
C = ผลกำไรไตรมาสก่อน (Current quarterly earnings)
มองหาบริษัทมีเพิ่งประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 40 – 500%
A = กำไรต่อปีเพิ่มขึ้น (Annual earnings increases)
มอง หาบริษัทที่มีความเติบโตติดต่อกันห้าปี โดยมีอัตราเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 25%ต่อปี ถ้าหุ้นมีลักษณะอย่างนี้เราไม่จำเป็นต้องสนใจ PE Ratio ซึ่งช่วงของ PE อาจจะอยู่ที่ 20 ขึ้นไป
N = สินค้าใหม่ ทีมบริหารใหม่ จุดสูงสุดใหม่ (New products, new management, new highs)
หุ้น ที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆอยู่เบื้องหลังมัน เช่น สินค้าใหม่ที่น่าสนใจ หรือ ผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดจุดสูงสุดใหม่
S = อุปสงค์ และ อุปทาน (Supply and demand)
หากหุ้นที่มีขนาดเล็กมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนสูงขึ้นได้
L = ผู้นำ และ ผู้ตาม (Leaders and laggards)
เลือก ลงทุนในหุ้นที่มีความเข้มแข็งในอันดับต้นของหมวดนั้นๆซัก 2 -3 บริษัท หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวดีกว่าหุ้นอื่นๆในหมวดเดียวกันในอัตรา 80 – 90% ภายใน 12 เดือน อยู่ให้ห่างหุ้นที่ปรับตัวแย่ลงในระยะ 7 เดือน
I = ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน (Institutional sponsorship)
หา ให้ได้ว่าหุ้นตัวใดที่นักลงทุนสถาบันนิยมซื้อ หากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและนักลงทุนสถาบันยังมีอยู่น้อย เราอาจจะนำมาเป็นหุ้นที่เราจะเข้าซื้อ
M = ทิศทางของตลาด (Market direction)
ตรวจสอบตลาดทุกวันเพื่อหาสัญณาณของการปรับตัวลง และให้ระวังการเข้าซื้อในขณะนั้น
ตัดขาดทุน เขาแนะนำให้ทำการขายหุ้นออกเมื่อหุ้นนั้นตกลงต่ำกว่า 7-8% จากราคาที่ซื้อมาโดยไม่ต้องมีคำถาม
ขายหุ้นที่ขึ้นไม่ถึง 20%ภายใน13 สัปดาห์ ให้ถือหุ้นที่ขึ้นเกิน 20% ภายใน 4 – 5 สัปดาห์ หุ้นพวกนี้มักจะเป็นหุ้นที่ทำกำไรมากที่สุด
ใน กรณีที่หุ้นที่คุณซื้อมาและมีการปรับตัวขึ้น 25%อย่างรวดเร็วภายใน 1-2สัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอาจจะมีข่าวดีทำให้นักลงทุนในตลาดแห่กันเข้าเก็บ หุ้นอย่างเร่งร้อน เราควรรีบทำกำไรในช่วงนี้
..................................
C = ผลกำไรไตรมาสก่อน (Current quarterly earnings)
มองหาบริษัทมีเพิ่งประกาศผลการดำเนินงานเพิ่มขึ้น 40 – 500%
A = กำไรต่อปีเพิ่มขึ้น (Annual earnings increases)
มอง หาบริษัทที่มีความเติบโตติดต่อกันห้าปี โดยมีอัตราเติบโตที่ไม่ต่ำกว่า 25%ต่อปี ถ้าหุ้นมีลักษณะอย่างนี้เราไม่จำเป็นต้องสนใจ PE Ratio ซึ่งช่วงของ PE อาจจะอยู่ที่ 20 ขึ้นไป
N = สินค้าใหม่ ทีมบริหารใหม่ จุดสูงสุดใหม่ (New products, new management, new highs)
หุ้น ที่ดีมักจะมีเรื่องราวใหม่ๆอยู่เบื้องหลังมัน เช่น สินค้าใหม่ที่น่าสนใจ หรือ ผู้บริหารคนใหม่ ซึ่งสิ่งเหล่านี้จะทำให้เกิดจุดสูงสุดใหม่
S = อุปสงค์ และ อุปทาน (Supply and demand)
หากหุ้นที่มีขนาดเล็กมีปริมาณการซื้อขายสูงๆ จะทำให้โอกาสที่ราคาหุ้นจะถูกขับเคลื่อนสูงขึ้นได้
L = ผู้นำ และ ผู้ตาม (Leaders and laggards)
เลือก ลงทุนในหุ้นที่มีความเข้มแข็งในอันดับต้นของหมวดนั้นๆซัก 2 -3 บริษัท หุ้นเหล่านี้มักจะปรับตัวดีกว่าหุ้นอื่นๆในหมวดเดียวกันในอัตรา 80 – 90% ภายใน 12 เดือน อยู่ให้ห่างหุ้นที่ปรับตัวแย่ลงในระยะ 7 เดือน
I = ได้รับการสนับสนุนจากนักลงทุนสถาบัน (Institutional sponsorship)
หา ให้ได้ว่าหุ้นตัวใดที่นักลงทุนสถาบันนิยมซื้อ หากเป็นหุ้นที่มีผลตอบแทนดีและนักลงทุนสถาบันยังมีอยู่น้อย เราอาจจะนำมาเป็นหุ้นที่เราจะเข้าซื้อ
M = ทิศทางของตลาด (Market direction)
ตรวจสอบตลาดทุกวันเพื่อหาสัญณาณของการปรับตัวลง และให้ระวังการเข้าซื้อในขณะนั้น
ตัดขาดทุน เขาแนะนำให้ทำการขายหุ้นออกเมื่อหุ้นนั้นตกลงต่ำกว่า 7-8% จากราคาที่ซื้อมาโดยไม่ต้องมีคำถาม
ขายหุ้นที่ขึ้นไม่ถึง 20%ภายใน13 สัปดาห์ ให้ถือหุ้นที่ขึ้นเกิน 20% ภายใน 4 – 5 สัปดาห์ หุ้นพวกนี้มักจะเป็นหุ้นที่ทำกำไรมากที่สุด
ใน กรณีที่หุ้นที่คุณซื้อมาและมีการปรับตัวขึ้น 25%อย่างรวดเร็วภายใน 1-2สัปดาห์ ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะว่าอาจจะมีข่าวดีทำให้นักลงทุนในตลาดแห่กันเข้าเก็บ หุ้นอย่างเร่งร้อน เราควรรีบทำกำไรในช่วงนี้
..................................
ตอนนี้เรียนรู้ทฤษฎีกันไปก่อน ตอนหน้าจะมาสอนเรื่องเคล็ด และการออกรบจริง รวมถึงแนะนำอาวุธที่สำคัญ อีกสองอย่างคือ
1. กราฟรูปถ้วยและหู
2. Distribution Day
และเรื่องที่สำคัญที่สุดที่ผมจะเขียนถึง คือ จิตวิทยาการลงทุนด้วย CANSLIM