จง-๑) จงมองหุ้นเป็นธุรกิจ มองตัวเราเองเป็น บริษัทโฮลดิ้งคอมปะนี เป็นเจ้าของบริษัทที่เราซื้อเข้ามาไว้ในพอร์ทลงทุน ติดตามผลการดำเนินงานและประเมินเหมือนกับเป็นเจ้านายของบริษัทเหล่านั้น เสมอ
จง-๒) จงเป็นนักต่อรอง อย่าหลงคารม อย่าเชื่อใจผู้บริหารบริษัท โอกาสในตลาดหุ้นมีเป็นร้อยหมื่นพันครั้ง ตลาดหุ้นตกแบบคอเร็คชัน (correction) ประมาณ ๑๕ - ๒๐ เปอร์เซนต์มีทุกปี และตลาดตกแบบ ๔๐-๕๐ เปอร์เซนต์สัก สามถึงห้าปีก็จะมีบ้างเช่นกัน ดังนั้นไม่ต้องรีบ แต่ให้ติดตาม และประเมินอยู่ตลอดเวลา
จง-๓) จงมีเงินสด เดินทางด้วยทางสายกลาง รีบรวยโดยการซัดหมดพอร์ต จะเป็นเส้นทางตกเหวเสียมากกว่า หลายคนมองว่าการถือหุ้นร้อยเปอร์เซนต์เป็นเรื่องที่ดี ดีจริงครับ แต่เสียโอกาส โอกาสอะไร โอกาสในการเข้าซื้อเวลาหุ้นตก และหลายคนมองว่าการถือเงินสดตลอดเวลาเป็นเรื่องดี ผมกลับมองว่า ทางสายกลางเป็นเรื่องที่ดี ยามตลาดตกมีเงินสดไว้บ้าง ๑๕ - ๒๐ เปอร์เซนต์ของพอร์ต ตลอดเวลา เป็นเรื่องที่ดีกว่า เพราะจะไม่ทำให้เรากระวนกระวาย และบีบคั้นให้เราต้องตัดสินใจทำสิ่งที่เราไม่อยากทำ เช่น ขายหุ้นในเวลาไม่เหมาะสมเพราะต้องเอาเงินไปจ่ายค่าพยาบาลพ่อแม่
จง-๔) จงตั้งบิด (bid) ผมไม่เคาะขวา ไม่ใช่เกี่ยงราคา แต่เป็นการเกี่ยงจิตใจ ให้เราเน้นการรอคอย กำลังเงิน ความแม่นยำซื้อถูกจุดถูกจังหวะหรือไม่ ไม่สำคัญเท่าการรอคอย คนที่จะอดทนรอคอยเรื่องหนึ่งเรื่องใดได้ จะต้องเป็นคนที่จิตใจเข้มแข็งถูกฝึกมาเป็นอย่าดี รอคอยไม่เป็นเท่ากับเปิดหน้าให้คู่แข่งชก คุณทนได้ไม่นานหรอก
จง-๕) จงมีหุ้น ไม่ว่าสถานะการณ์จะเลวร้ายเพียงไหน การกดปุ่มหนึ่งปุ่ม หรือโทรหามาร์หนึ่ง กริ๊ก แล้วสั่ง "ล้างพอร์ต" เป็นการตัดสินใจที่สิ้นคิด คุณจะลดพอร์ตเพิ่มพอร์ต ได้เสมอ แต่จงอย่าตัดสินใจ ล้างพอร์ต คำ ๆ เดียว แล้วบอกว่าสบายใจละ เป็นการตัดสินใจที่ผิดมากที่สุดเรื่องหนึ่งในตลาดหุ้น
จง-๖) จงกระจายความเสี่ยง อย่ารักหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจนหมดใจ ถือตัวเดียวทั้งพอร์ต อย่ากระโดดอัดเข้าตัวใดตัวหนึ่งอย่างแรง อย่าทิ้งตัวอื่นแบบไร้เหตุผลซัดหมดเงินตัวเดียว ไม่มีโฮลดิ้งคอมปะนี ไหนในโลกทำอย่างนั้น แต่จงจัดน้ำหนักของพอร์ตไปในหุ้นรายตัวให้เหมาะสม
จง-๗) จงอย่าไปสนใจนำผลตอบแทนของตนเองเทียบกับผลตอบแทนของคนอื่น ปีเตอร์ ลินซ์ กล่าวไว้ว่า หุ้นขึ้นไม่ได้แปลว่าคุณถูก หุ้นลงไม่ได้แปลว่าคุณผิด ในโลกมายาโซเชียลเน็ตเวิร์ค นี้ จะรู้ได้อย่างไรว่าใครจริง ใครไม่จริง สิ่งที่เราควรเปรียบเทียบคือ สินทรัพย์สุทธิของเราปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่แล้วที่เพิ่มมา เปรียบเทียบกับ มูลค่าตลาดปีนี้และปีที่แล้วที่เพิ่มขึ้นมาหรือถ้าจะง่ายเข้า เอา ดัชนี SET ก็ได้เปรียบเทียบกัน ถ้าดีกว่าแสดงว่าเก่งกว่าตลาด ถ้าแย่กว่าก็ลองเปรียบเทียบกับอัตราดอกเบี้ย คิดเล่น ๆ ว่าหากเอาเงินไปเทียบกับเงินฝาก จะได้เท่าไร ? นี่เราลงทุน แล้วได้เพิ่มมามากกว่าอัตราดอกเบี้ย ดีตั้งเท่าไร?
เด็กผู้ชายไม่ร้องไห้ - ๔ พฤศจิกายน ๒๕๕๘
ความคิดเห็นนี้ถูกลบโดยผู้ดูแลระบบของบล็อก
ตอบลบ